ตะกร้าสินค้า

news icon image - unigrow อัปเดตล่าสุด 15:57, 10/05/2025
news icon image - unigrow 102 การดู
news icon image - unigrow ผู้เขียน Unigrow

คำแนะนำแนวทางการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็กอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

คำแนะนำแนวทางการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็กอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ในการพัฒนาการทางร่างกายในแต่ละช่วงวัยการได้รับแคลเซียมที่เพียงพอต่อร่างกายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการรับประกันการพัฒนาที่ครอบคลุมและมีสุขภาพดีในบทความนี้ มาร่วมกับ UniGrow เรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็กอย่างถูกวิธีและมีประสิทธิภาพเพื่อนำมาซึ่งพัฒนาการทางร่างกายที่ดีที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยเริ่มต้นของเด็ก

 

1. ทำไมจึงควรเสริมแคลเซียมสำหรับเด็ก?

จากข้อมูลสถิติ พบว่าภาวะขาดแคลเซียมในเด็กปัจจุบันยังไม่มีสัญญาณลดลง แม้ว่าจะไม่อยู่ในระดับที่น่าตกใจ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพกำลังเตือนว่าจำเป็นต้องจำกัดภาวะนี้โดยการให้แคลเซียมแก่เด็กอย่างเพียงพอในแต่ละวันตามปริมาณที่แนะนำ เพื่อให้มั่นใจถึงพัฒนาการที่ครอบคลุมทั้งทางร่างกายและสติปัญญา

แคลเซียมมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความสูงในเด็ก แม้ว่าจะมีสัดส่วนเพียง 1.5-2% ของน้ำหนักตัวทั้งหมด โดยส่วนใหญ่อยู่ในกระดูกและฟัน และมีส่วนน้อยในของเหลวนอกเซลล์และเลือด แต่แคลเซียมก็เป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทหลักในการสร้างโครงกระดูก การบำรุงรักษา และการพัฒนาโครงสร้างฟันและกระดูกของเด็กเล็ก

แคลเซียมมีบทบาทสำคัญต่อความสูงของเด็ก

แคลเซียมมีบทบาทสำคัญต่อความสูงของเด็ก

นอกเหนือจากการช่วยสร้างโครงสร้างกระดูกที่แข็งแรงและส่งเสริมการเจริญเติบโตที่แข็งแรงแล้ว แคลเซียมยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเต้นของหัวใจ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ปรับสมดุลอิเล็กโทรไลต์ กระตุ้นการผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโตและสารอื่นๆ รวมถึงมีส่วนร่วมในกระบวนการแข็งตัวของเลือดและการทำงานของกล้ามเนื้อ... การเสริมแคลเซียมให้เด็กอย่างเพียงพอตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นวิธีช่วยให้เด็กสูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อเด็กขาดแคลเซียมเป็นเวลานานและไม่ได้รับการรักษาอย่างทันเวลา อาจนำไปสู่ผลเสียต่างๆ เช่น ภาวะทุพโภชนาการ ภาวะส่วนสูงน้อย ปวดกระดูก กระดูกผิดรูป การเกิดปัญหาความผิดปกติในช่องปาก การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันลดลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่

2. สัญญาณบ่งชี้ว่าเด็กขาดแคลเซียม

สัญญาณใดบ้างที่บ่งชี้ว่าเด็กกำลังขาดแคลเซียมเป็นข้อมูลที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนควรรู้เพื่อที่จะสามารถเสริมแคลเซียมสำหรับเด็กได้อย่างทันท่วงที ต่อไปนี้คืออาการขาดแคลเซียมที่พบบ่อยในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทารก

สัญญาณบ่งชี้ว่าเด็กขาดแคลเซียม:

  • เด็กมักมีเหงื่อออกมากขณะนอนหลับ
  • เด็กมักร้องไห้และผวาตื่นกลางดึก
  • ผมร่วงเป็นวงแหวนบริเวณท้ายทอย
  • เด็กมักปวดเมื่อยแขนขา
  • เด็กมีการเจริญเติบโตช้า แคระแกร็น
  • เด็กมีการพัฒนาการทางสติปัญญาช้า

3. สาเหตุที่เด็กขาดแคลเซียม

  • เด็กขาดอากาศหายใจหรือขาดออกซิเจนระหว่างการคลอด
  • มารดาป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือภาวะครรภ์เป็นพิษขณะตั้งครรภ์
  • ได้รับสารอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอ
  • เด็กไม่ได้รับการสัมผัสแสงแดดอย่างสม่ำเสมอทำให้ขาดวิตามินดีซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายเด็กดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

4. ช่วงเวลาที่คุณแม่ควรเสริมแคลเซียมสำหรับเด็ก

ช่วงเวลาใดบ้างที่ควรเสริมแคลเซียมให้เด็กเป็นข้อสงสัยของคุณพ่อคุณแม่จำนวนมากแม้ว่าแคลเซียมจะมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพและการพัฒนาของเด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อโครงสร้างกระดูกคุณพ่อคุณแม่ควรให้แคลเซียมในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้นไม่ควรใช้มากเกินไปเพราะอาจก่อให้เกิดผลเสียที่ไม่พึงประสงค์เช่นภาวะกระดูกเสื่อมก่อนวัยภาวะเบื่ออาหารความดันโลหิตสูงและส่งผลต่อความสามารถในการดูดซึมสารอาหารของระบบทางเดินอาหาร

ต่อไปนี้คือข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับความต้องการในการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็กอย่างถูกวิธีตามช่วงอายุของเด็ก โดยอ้างอิงจากคำแนะนำของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา:

ช่วงอายุ ความต้องการแคลเซียมที่แนะนำ
เด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน 200 มิลลิกรัม แคลเซียม/วัน
เด็กอายุตั้งแต่ 7 - 12 เดือน 260 มิลลิกรัม แคลเซียม/วัน
เด็กอายุตั้งแต่ 1 – 3 ปี 700 มิลลิกรัม แคลเซียม/วัน
เด็กอายุตั้งแต่ 4 – 8 ปี 1000 มิลลิกรัม แคลเซียม/วัน
เด็กอายุตั้งแต่ 9 – 18 ปี 1300 มิลลิกรัม แคลเซียม/วัน
หลังจากอายุ 19 ปี 1000 มิลลิกรัม แคลเซียม/วัน

ตารางความต้องการแคลเซียมตามช่วงอายุ

5. คำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ในการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็กอย่างถูกวิธี

สำหรับร่างกายของเด็กเล็ก การเสริมแคลเซียมสำหรับเด็กอย่างถูกวิธีจะช่วยให้เด็กเติบโตอย่างแข็งแรง การให้เด็กเล็กทานแคลเซียมในปริมาณมากไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องดำเนินการเสริมอย่างมีหลักวิทยาศาสตร์จึงจะช่วยให้เด็กดูดซึมได้ดีและเกิดประสิทธิภาพสูง

แนวทางการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็ก

แนวทางการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็ก

5.1. ให้ยาเม็ดแคลเซียมเฉพาะเมื่อแพทย์สั่งเท่านั้น

การให้แคลเซียมในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้เด็กเติบโตแข็งแรง อย่างไรก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ปวดกระดูก คลื่นไส้ ท้องผูก คุณพ่อคุณแม่ควรจำไว้ว่าไม่ควรให้แคลเซียมแก่เด็กในปริมาณที่มากเกินไป ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับปริมาณที่เหมาะสมเมื่อใช้แคลเซียม และใช้เฉพาะเมื่อแพทย์สั่งเท่านั้น

5.2. การเสริมแคลเซียมร่วมกับวิตามินดี

แคลเซียมและวิตามินดีเป็นการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบและขาดไม่ได้ เนื่องจากวิตามินดีมีบทบาทเป็นสารออกฤทธิ์นำพา ซึ่งช่วยให้เด็กดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ในแต่ละวัน พ่อแม่ควรให้ลูกน้อยออกไปรับแสงแดดประมาณ 10 ถึง 20 นาที ในช่วงเวลา 7 ถึง 9 โมงเช้า ช่วงเวลานี้จะช่วยให้ร่างกายของลูกน้อยดูดซึมวิตามินดีผ่านผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน รวมถึงปริมาณไขมันที่เพียงพอ วิตามินดีจะสามารถถูกดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ต่อไปนี้คือความต้องการวิตามินดีที่แนะนำตามช่วงอายุและเพศซึ่งพ่อแม่ควรนำไปอ้างอิง

ช่วงอายุ ความต้องการวิตามินดี
เด็กอายุต่ำกว่า 12 เดือน 10 ไมโครกรัม (400 หน่วยสากล)
เด็กอายุ 1 ถึง 13 ปี 15 ไมโครกรัม (600 หน่วยสากล)
เด็กอายุ 14 ถึง 18 ปี 15 ไมโครกรัม (600 หน่วยสากล)
ผู้ใหญ่ อายุ 19 ถึง 70 ปี 20 ไมโครกรัม (800 หน่วยสากล)
สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร 15 ไมโครกรัม (600 หน่วยสากล)

ตารางความต้องการวิตามินดีตามช่วงอายุ

5.3. การเสริมแคลเซียมผ่านทางการรับประทานอาหาร

แม้ว่าจะมีแคลเซียมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่สำคัญต่อเด็กซึ่งได้รับจากการรับประทานอาหารในแต่ละวัน แต่ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการเสริมแคลเซียมให้เด็ก ผ่านอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและอาหารจากธรรมชาติ ผู้ปกครองสามารถให้แคลเซียมในปริมาณที่จำเป็นแก่เด็กได้

กลุ่มอาหารที่ช่วยเสริมแคลเซียมให้กับเด็ก

กลุ่มอาหารที่ช่วยเสริมแคลเซียมให้กับเด็ก

คุณพ่อคุณแม่ควรให้เด็กรับประทานอาหารที่หลากหลาย โดยเน้นอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น กุ้ง ปู ปลา ถั่วเหลือง นมและผลิตภัณฑ์จากนม... สำหรับคุณแม่ที่ให้นมบุตร ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มเพื่อให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเกลือ เพราะสิ่งเหล่านี้จะลดความสามารถในการดูดซึมแคลเซียม

นอกจากนี้อาหารที่รับประทานควรมีโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอตามคำแนะนำ สิ่งสำคัญคือไม่ควรงดอาหารมากเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะฟอสเฟตต่ำซึ่งจะทำให้แคลเซียมลดลง

6. ข้อควรจำเพื่อให้ร่างกายของเด็กดูดซึมแคลเซียมได้ดีที่สุด

ต่อไปนี้คือข้อควรจำบางประการเพื่อเสริมแคลเซียมให้เด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น:

ห้ามให้เด็กดื่มแคลเซียมขณะท้องว่างโดยเด็ดขาด

เพื่อให้แคลเซียมดูดซึมได้ดีที่สุดควรให้เด็กดื่มแคลเซียมควบคู่ไปกับการออกกำลังกายกลางแจ้ง

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็กคือช่วงฤดูหนาวเนื่องจากเป็นช่วงที่มีแสงแดดน้อย ส่งผลทำให้เด็กเสี่ยงต่อการขาดแคลเซียมได้ง่าย

อาบแดดในช่วงเช้าประมาณ 15-30 นาทีทุกวันเพื่อช่วยให้เด็กดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้นด้วยวิตามินดีที่ร่างกายสังเคราะห์ได้

7. เสริมแคลเซียมให้เด็กด้วย UNIGROW

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มความสูง UNIGROW เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบทางโภชนาการที่สมดุลผ่านการคำนวณอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพร่างกายของเด็กไทย UNIGROW ช่วยเสริมสารอาหารที่จำเป็นเช่นแคลเซียมจากสาหร่ายทะเลสีแดง Aquamin F,  3 สารประสานแคลเซียม วิตามิน D3 และ K2 ร่วมกับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นกว่า 20 ชนิด... ช่วยให้เด็กมีการพัฒนาที่ดีทั้งด้านความสูง ร่างกาย และสติปัญญา

เสริมแคลเซียมสำหรับเด็กด้วย UNIGROW

เสริมแคลเซียมสำหรับเด็กด้วย UNIGROW

UniGrow ผลิตที่บนสายภายใต้มาตรฐาน GMP ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองจาก อย. ประเทศไทย และได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครองจำนวนมากในการเลือกสรรให้แก่บุตรหลานของตน

โดยสรุป การเสริมแคลเซียมสำหรับเด็กอย่างถูกวิธีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับรองพัฒนาการที่สมบูรณ์แบบและผลิตภัณฑ์มีโภชนาการเฉพาะทาง UNIGROW เป็นตัวเลือกที่น่าเชื่อถือ ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่วางใจได้อย่างเต็มที่ในการเสริมแคลเซียมและสารอาหารที่จำเป็นเพื่อให้ลูกรักมีความสูงที่โดดเด่นและมีสุขภาพที่แข็งแรงอย่างสมบูรณ์แบบ

อ่านเพิ่มเติม: ข้อแนะนำนมพัฒนาความสูงที่ดีที่สุดสำหรับเด็กในปัจจุบัน

 

news wave image - unigrow

สินค้าแนะนำ

Hotline Liên hệ Lên đầu