ลูกตัวเล็กเพราะพันธุกรรมใช่ไหม? ปัจจัยสำคัญกำหนดความสูงของเด็กที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

ความสูงของเด็กเป็นข้อกังวลอันดับหนึ่งของคุณพ่อคุณแม่ในการเลี้ยงดูลูกคุณพ่อคุณแม่หลายคนเมื่อเห็นว่าลูกตัวเล็กก็มักจะตั้งคำถามว่า “ลูกตัวเล็กเพราะพันธุกรรมใช่ไหม?” คำถามนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เข้าใจได้ แต่ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมดในความเป็นจริง พันธุกรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อความสูงของเด็ก แต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถส่งผลทั้งทางบวกและทางลบต่อการพัฒนาความสูง ลองมาทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า อะไรคือสิ่งที่กำหนดรูปร่างของลูกอย่างแท้จริง และคุณพ่อคุณแม่สามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยให้ลูกพัฒนาได้อย่างเหมาะสมที่สุด

 

1. ลูกตัวเล็กเพราะพันธุกรรมใช่ไหม? พันธุกรรมมีบทบาทอย่างไร?

คำตอบแบบสั้น: ใช่...แต่แต่ไม่ ใช่ทั้งหมด

พันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่มีผลต่อความสูงของเด็กในระดับหนึ่ง โดยทั่วไป เด็กที่เกิดในครอบครัวที่พ่อแม่ตัวสูงมักมีแนวโน้มที่จะสูงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม พันธุกรรมมีอิทธิพลต่อความสูงเพียงประมาณ 30–40% เท่านั้น นั่นหมายความว่า คำถามที่ว่า "ลูกตัวเล็กเพราะพันธุกรรมใช่ไหม?" คำตอบคือ ไม่ถูกต้องทั้งหมด แม้พ่อแม่ตัวเล็ก แต่เด็กก็ยังสามารถเติบโตสูงได้ หากได้รับการดูแลที่เหมาะสมในด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย การนอนหลับ และสภาพจิตใจ 

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเด็กในครอบครัวเดียวกันจึงอาจมีความสูงต่างกัน หรือแม้แต่ลูกของพ่อแม่ตัวเล็กก็ยังสามารถมีความสูงโดดเด่นได้ด้วยการดูแลที่ถูกต้อง

2. ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อความสูงของเด็ก?

นอกจากพันธุกรรมแล้ว ความสูงของเด็กยังได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย แล้วปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อความสูงของเด็ก? ด้านล่างนี้คือปัจจัยหลัก ๆ:

2.1 โภชนาการ – รากฐานของการเจริญเติบโตด้านความสูง

โภชนาการมีบทบาทสำคัญที่สุดในการพัฒนาความสูง การรับประทานอาหารที่สมดุลและครบถ้วนด้วยสารอาหารจะช่วยให้กระดูกและร่างกายของเด็กเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่

• แคลเซียม: เป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างกระดูก หากขาดแคลเซียม อาจทำให้กระดูกอ่อนแอและส่งผลต่อการเจริญเติบโต
• วิตามิน D : ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เด็กที่ขาดวิตามินด D แม้จะได้รับแคลเซียมมากก็อาจดูดซึมได้ไม่เต็มที่
• โปรตีน: ช่วยสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ และสนับสนุนการพัฒนาร่างกายโดยรวม
• สังกะสีและแมกนีเซียม: ช่วยพัฒนาระบบประสาท และสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีผลทางอ้อมต่อความสูง
• DHA (Docosahexaenoic Acid): ไม่เพียงแต่ดีต่อสมองเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการเจริญเติบโตโดยรวม รวมถึงความสูงด้วย

คำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่:

นม UniGrow ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี เพราะเสริมด้วยสารอาหารสำคัญอย่างครบถ้วน เช่น DHA, แคลเซียม, วิตามิน D3K2 และ Bonepep ซึ่งช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตด้านความสูงและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการชั้นนำโดยเฉพาะ วิตามิน D3 และ K2 เป็นคู่หูสำคัญที่ช่วยให้เด็กดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้นที่ลำไส้เล็ก และลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ การใช้แคลเซียมร่วมกับ Bonepep (สารเปปไทด์จากไข่แดงที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ โดยนักโภชนาการชั้นนำจากญี่ปุ่น) ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนากระดูกได้ดีกว่าการเสริมแคลเซียมเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้การเติบโตของกระดูกและความสูงเร็วกว่าเมื่อเทียบกับนมทั่วไป

2.2 การเคลื่อนไหว – กระตุ้นฮอร์โมนการเจริญเติบโตตามธรรมชาติ

เด็กที่มีความกระตือรือร้นมักจะสูงกว่าคือสิ่งที่งานวิจัยหลายชิ้นได้พิสูจน์แล้ว เมื่อเด็กเคลื่อนไหวร่างกาย ฮอร์โมนการเจริญเติบโต (GH) จะถูกหลั่งออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญในการส่งเสริมการเติบโตของความสูง.

กิจกรรมที่ช่วยเพิ่มความสูงได้แก่:

• ว่ายน้ำ
• กระโดดเชือก
• บาสเกตบอล
• แบดมินตัน
• โยคะสำหรับเด็ก

ทุกวัน เด็กควรได้รับการกระตุ้นให้เคลื่อนไหวอย่างน้อย 60 นาที เพื่อกระตุ้นการพัฒนาร่างกายอย่างเต็มที่.

2.3 การนอนหลับ – ช่วงเวลาทองในการหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต

อาจฟังดูง่ายๆ แต่การนอนหลับให้เพียงพอและนอนในเวลาที่เหมาะสมเป็น “กลยุทธ์ในการเพิ่มความสูง” ที่มีประสิทธิภาพ เมื่อเด็กนอนหลับลึก โดยเฉพาะในช่วงเวลาตั้งแต่ 22.00 น. ถึง 02.00 น. ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต (GH) อย่างมาก.

พ่อแม่ควร:

• ฝึกให้เด็กนอนหลับตรงเวลา ก่อน 21.00 น.
• รับรองห้องนอนต้องเงียบสงบและมีอากาศถ่ายเทดี
• จำกัดการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ก่อนเวลานอน

เด็กวัย 3 ถึง 12 ปีควรนอนหลับจาก 10 ถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน ขึ้นอยู่กับอายุ.

2.4 สิ่งแวดล้อมและจิตใจ – ปัจจัยที่มักถูกมองข้ามแต่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

สิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ เชิงบวก และเต็มไปด้วยความรักสามารถช่วยให้เด็กเติบโตได้อย่างเต็มที่ เด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เครียด, กดดันเรื่องการเรียน, และขาดการเคลื่อนไหวอาจมีความเสี่ยงในการพัฒนาความสูงที่ช้ากว่า.

พ่อแม่ควร:

• ใช้เวลาพูดคุยและฟังลูก.
• หลีกเลี่ยงการสร้างความกดดันมากเกินไปให้กับลูก.
• สร้างโอกาสให้ลูกได้เล่นและสัมผัสประสบการณ์ในธรรมชาติ.

3. คำตอบต่อไป: ลูกตัวเล็กเพราะพันธุกรรมใช่ไหม? 

ดังนั้น กลับมาที่คำถาม "ลูกตัวเล็กเพราะพันธุกรรมใช่ไหม?" เราสามารถยืนยันได้ว่า:

• พันธุกรรมมีผลแค่บางส่วนในปัจจัยทั้งหมดที่มีผลต่อความสูง
• พ่อแม่สามารถช่วยให้ลูกพัฒนาได้เต็มที่ แม้ความสูงของพ่อแม่อาจจะไม่โดดเด่น
• สิ่งที่สำคัญคือต้องดูแลลูกอย่างครบถ้วนในเรื่องของโภชนาการ การออกกำลังกาย การนอนหลับ และสุขภาพจิต

4. ข้อผิดพลาดทั่วไปที่ทำให้เด็กตัวเล็กโดยที่พ่อแม่ไม่คาดคิด

• โทษแค่พันธุกรรม: เมื่อคิดว่า “ลูกตัวเล็กเพราะพันธุกรรมใช่ไหม?”, พ่อแม่หลายคนมองข้ามปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถเข้าแทรกแซงและปรับปรุงได้
• ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมากเกินไป: การเสริมสารอาหารโดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอาจทำให้เกิดการขาดสมดุลทางโภชนาการ
• มองข้ามการออกกำลังกาย: เด็กที่มีการเคลื่อนไหวน้อยจะไม่ได้รับการกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่
• ไม่ติดตามการนอนของเด็ก: การนอนดึกหรือการนอนไม่เพียงพอจะทำให้ฮอร์โมน GH ไม่ถูกหลั่งออกมาเพียงพอ ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาความสูง

5. คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

หากลูกของคุณตัวเล็กกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน อย่าเพิ่งคิดว่า " ลูกตัวเล็กเพราะพันธุกรรมใช่ไหม?"และยอมแพ้ แทนที่จะทำ:

• สร้างเมนูอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการหลากหลายและสมดุล
• กระตุ้นให้ลูกออกกำลังกายทุกวัน
• สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีและเต็มไปด้วยความหวังให้กับลูก
• พาลูกไปพบแพทย์หรือนักโภชนาการหากมีความกังวล

 

ลูกตัวเล็กไม่ได้หมายความว่ามาจากพันธุกรรมเสมอไป นี่เป็นแนวคิดเก่าที่ไม่สมบูรณ์ พันธุกรรมมีผลกระทบ แต่ส่วนใหญ่แล้วความสูงของเด็กจะขึ้นอยู่กับการดูแลและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ เช่น มื้ออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ การนอนหลับที่เพียงพอ หรือการเล่นบาสเกตบอลกับลูก

อย่าปล่อยให้คำถาม “ลูกตัวเล็กเพราะพันธุกรรมใช่ไหม?” เป็นเหตุผลที่จะมองข้ามโอกาสในการช่วยให้ลูกสูงและแข็งแรงขึ้นทุกวัน

 

แหล่งอ้างอิง:

https://www.glentapharma.com/whatisgrowthspurtandwhydowe 

https://nmni-usa.com/en/golden-time-for-height-development-in-children/ 

https://www.israel21c.org/environmental-surroundings-can-make-you-taller-or-shorter/